น้ำมันปลาคืออะไร? ทำไมใครๆก็ว่าดี?
น้ำมันปลา Vs น้ำมันตับปลา ต่างกันอย่างไร?
น้ำมันปลา (Fish oil) ฟังชื่อคล้ายๆ กับน้ำมันตับปลา (Cod liver oil) แต่เพื่อนๆ รู้ไหมว่ามันเป็นคนละชนิดกัน
น้ำมันปลา (Fish oil) คือ น้ำมันที่สกัดจากปลา โดยมี ส่วนประกอบสําคัญที่เราต้องการคือ กรดไขมันโอเมก้า 3 (Omega-3 Fatty acid) ที่จําเป็นต่อร่างกาย ร่างกายเรา ไม่สามารถผลิตเองได้ ประกอบด้วยสาร EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid)
ส่วนน้ำมันตับปลา (Cod liver oil) ก็คือน้ำมันที่สกัดมาจากตับปลาคอด (Atlantic cod) ตามชื่อนั่นเอง
โดยน้ำมันตับปลาต่างจากน้ำมันปลาตรงที่ น้ำมันตับปลานอกจากจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 แล้วยังมี
วิตามิน A และวิตามิน D ปริมาณสูงอีกด้วย
ซึ่งแต่เดิมนั้นเคยมีการใช้น้ำมันตับปลาในการรักษาโรค ขาดวิตามิน D ด้วยนั่นเอง อย่างไรก็ตาม วิตามิน A และ D แม้จะมีประโยชน์ แต่เป็นวิตามินละลายในไขมัน จึงสามารถสะสมในร่างกายได้ ดังนั้นหากได้รับปริมาณมากเกินอาจเกิดโทษได้
คนทั่วไปจำเป็นต้องกินน้ำมันปลาเสริมไหม?
สาร EPA และ DHA ในน้ำมันปลานั้น เป็นสารตั้งต้นของสารที่ช่วยลดการอักเสบในร่างกายเรา นอกจากนี้ น้ำมันปลา ยังช่วยป้องกันไม่ให้เลือดแข็งตัวง่าย ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ช่วยเรื่องการลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย !
โดยปัจจุบันที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความเสี่ยงได้ คือ ในกลุ่ม ผู้ป่วยโรคหัวใจ เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจล้มเหลว คือ ช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ได้ประมาณ 10% ส่วนในกลุ่มคนทั่วไปที่ไม่ได้มีโรคอะไร ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน
ดังนั้นสําหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้มีโรคประจําตัว แนะนําให้ เลือกไขมันโอเมก้า 3 จากอาหารก่อน ดังนี้ค่ะ
อาหารที่มีไขมันโอเมก้า 3 สูง คือ ปลา และ ถั่ว ธัญพืชต่างๆ
ปลา ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาแม็กเคอเรล ปลาซาร์ดีน
ถั่ว และ ธัญพืช* ได้แก่ ถั่ววอลนัท เมล็ดเจีย (Chia seed) เมล็ดแฟล็กซ์ (Flaxseed)
*มีการศึกษาที่พบผลดีของไขมันโอเมก้า 3 ในพืช (ALA: Alpha linolenic – 44) ต่อหลอดเลือดหัวใจอยู่บ้าง แต่ยังไม่ชัดเจนเท่าโอเมก้า 3 ในปลา และอาหารทะเล (EPA, DHA)
ประโยชน์ของน้ำมันปลามีอีกมากมาย หากใครหาทานจากอาหารปกติไม่ได้ ก็ควรทานเสริมเพื่อสุขภาพไว้นะคะ